วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2556

ความลึกลับของโลก

         โลกคือดาวเคราะห์ที่เรารู้จักดีที่สุด แต่เราก็ยังตอบคำถามเหล่านี้ไม่ได้ ความดันและความร้อนมหาศาลทำให้เราเข้าไปสำรวจภายในโลกไม่ได้ และกาลเวลายาวนานก็แยกเราจากกำเนิดแห่งชีวิต แด่เพราะความลับเหล่านี้คือกุญแจไปสู่ความเข้าใจโลกของเรา นักธรณีวิทยาจึงยังมุ้งค้นหาคำตอบ
          ความลับที่ 1 : โลกของเราเป็นหนึ่งเดียวมากแค่ไหน?
          โลก คือ โอเอซิสแห่งจักรวาล โลกมีมวล มีชั้นบรรยากาศ น้ำ และปริมาณแสงกับความ ร้อนที่เหมาะสมพอดี ขณะที่เพื่อนบ้านทั้งเจ็ดดวงของเรากลับไร้ชีวิต ถ้าไม่เย็นเยือกก็ ร้อนจี๋แต่โลกเป็นหนังเดียวหรือเปล่า? หรือยังมีดาวเคราะห์อื่นเหมือนโลกอีก
           ทฤษฎีที่ดีที่สุดของนักวิทยาศาสตร์
           ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์รู้ถึงกระบวนการก่อกำเนิดโลกมากขึ้นเรื่อยๆ จากพื้นผิวโลกเป็นดาวเคราะห์หินธรรมดาๆ ที่โคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์ อย่างไรก็ตาม ในระยะหลัง เริ่มชัดเจนขึ้นว่าเกิดเหตุการณ์ชุดหนึ่ง ซึ่งทำนายไม่ได้อย่างต่อเนื่องจบก่อให้เกิดสภาวะที่เหมาะสมต่อกำเนิดของชีวิตขึ้น
อย่างแรก โลกตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ดีเมื่อเทียบกับดวงอาทิตย์ และมีอุณหภูมิที่เหมาะสมยิ่งกว่านี้ ดวงจันทร์ที่ค่อนข้างใหญ่ยังสร้างการเหวี่ยงที่คงที่และภูมิอากาศที่ค่อนข้างคงที่ให้ด้วย ขณะที่แก่นโลกขนาดใหญ่ซึ่งเป็นธาตุเหล็กก็ได้สร้างสนามแม่เหล็กขึ้นปกป้องรังสีจากดวงอาทิตย์ และสุดท้ายโลกยังได้รับน้ำปริมาณมากด้วย ทั้งที่ปกติแล้วในระบบสุริยะจะพบน้ำได้ในที่ห่างไกลออกไปกว่านี้คำอธิบายที่แพร่หลายก็คือ โลกถูกอุกกาบาตน้ำแข็งจำนวนมากพุ่งชน แบบจำลองคอมพิวเตอร์ล่าสุดสาธิตให้เห็นว่าดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์รวมกันเหวี่ยงเทหวัตถุขนาดเล็กเข้ามายังดาวเคราะห์ชั้นในอย่างโลกได้
             นักวิทยาศาสตร์จะทำอย่างไรต่อไป?
             เป็นเรื่องยากที่จะบ่งชี้ว่าโลก เป็นหนึ่งเดียวเพียงใด ถ้าเรายังไม่รู้ว่ามีระบบสุริยะแบบ เดียวกันนี้อยู่มากแค่ไหน นั่นคือ สิ่งที่กล้องโทรทรรศน์อวกาศเฮอร์เชลในยุโรปได้ เริ่มสำรวจมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2009
             ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญ?
             ความเป็นหนึ่งเดียวของโลกนั้นสำคัญเพราะเป็นตัวตัดสินว่าเราควรทุ่มเทความพยายามใน การค้นหาชีวิตบนดาวดวงอื่นมากเพียงใด
             ความลึกลับนี้มีโอกาสคลี่คลายไหม?
              เราอาจไม่มีวันรู้ถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่ทำให้โลกถือกำเนิดขึ้นเมื่อกว่า 4,600 ล้านปีก่อน แต่นักวิทยาศาสตร์ก็รู้แล้วว่าควรค้นหาอะไร
             โชคช่วยทำให้เกิดสภาวะที่เหมาะสม
              โลกดูเหมือนเป็นดาวเคราะห์จากหินที่สมบูรณ์แบบ แต่เป็นโชคชะตา ต่างหากที่ก่อให้เกิดดาวเคราะห์สีเขียวที่มีน้ำและชีวิตดังที่เรารู้จักใน ทุกวันนี้
-ดวงอาทิตย์ อยู่ห่างจากโลก เป็นระยะทางที่เหมาะสมโลกจึงไม่หนาวและไม่ร้อนเกินไปมาตั้งแต่ต้น

-ดวงจันทร์ทำให้การโคจรของโลกมีความเสถียร และทำให้เกิดบ่อน้ำทะเลซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดชีวิต
-แก่นโลก ซึ่งเป็นธาตุเหล็กช่วยรักษาสนามแม่เหล็ก
-ดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์ เหวี่ยงอุกกาบาต น้ำแข็งขนาดเล็กเข้ามายังโลกในช่วงแรกที่ระบบสุริยะเกิดขึ้น จึงนำน้ำมาสู่โลกของเรา
          ความลับที่ 2 : อะไรอยู่ตรงศูนย์กลางโลก?
ภายในของโลก คือ แก่นโลก ที่มีลักษณะเป็นของแข็งที่มีเหลวล้อมรอบ แก่นโลกสำคัญต่อสนามแม่เหล็กมาก จึงสำคัญต่อชีวิตบนโลกด้วย แต่ทำไมโลกจึงมีแก่นพิเศษนี้
           ทฤษฎีที่ดีที่สุดของนักวิทยาศาสตร์
เมื่อพิจารณาจากข้อมูลการสั่นสะเทือนของแผ่นดิน ทฤษฎีทางเคมี และการวัดสนามแม่เหล็กโลก นักวิทยาศาสตร์สรุปว่าแก่นโลกมีขนาดประมาณครึ่งหนึ่งของเส้นผ่านศูนย์กลางโลก นักวิทยาศาสตร์ยังรู้ว่าแก่นโลกประกอบด้วยสองชั้น คือ แก่นชั้นในที่แข็งและแก่นชั้นนอก ที่เป็นของเหลวซึ่งสร้างสนามแม่เหล็กให้กับโลก
            นักวิทยาศาสตร์เคยคิดว่าขนาดของแก่นโลกที่ค่อนข้างใหญ่เป็นผลจากข้อเท็จจริงที่ว่าโลกเคยชนกับดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งในยุคแรกๆ ดาวเคราะห์ลองดวงอาจมีสมบัติทางเคมีและองค์ประกอบคร่าวๆ คล้ายกัน แต่ในการชนกันนี้ ธาตุต่างๆ ไม่ได้กระจายตัวสม่ำเสมอ และแทนที่จะกลับสู่อวกาศ แก่น ของดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งซึ่งเป็นเหล็กกลับ “จมสู่ก้นบึ้ง” ของโลกเพราะมีความหนาแน่นสูง แต่ทุกวันนี้ นักวิทยาศาสตร์วิเคราะห์การกระจายตัวของไอโซโทปในก้อนหินได้ อย่างแม่นยำมากการกระจายตัวของสารเคมี ในหินแสดงให้เห็นว่าทฤษฎีนี้อาจต้องตกไป
              แรกเริ่ม แก่นโลกอาจเป็นของเหลว แต่เมื่ออุณหภูมิลดลง เหล็กตรงแก่นชั้นในก็ ตกผลึก ก่อเกิดเป็นแก่นชั้นในซึ่งยังคงขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเร็วๆ นี้ นักวิทยาศาสตร์ พบว่าแก่นโลกทางตะวันตกกำลังละลาย แต่ทางตะวันออกแข็งตัวมากขึ้น ดังนั้น แก่นโลก จึงมีความเปลี่ยนแปลงมากกว่าที่เคยเชื่อกัน
              นักวิทยาศาสตร์จะทำอย่างไรต่อไป?
               เป็นไปได้ว่าปฏิบัติการดาวเทียมในอนาคตจะให้ข้อมูลที่ดีขึ้น อย่างน้อยก็ข้อมูลเกี่ยวกับแก่นโลกชั้นนอก ดาวเทียมวัดสนามแม่เหล็กได้ตลอดอายุการใช้งาน มันจึงเผยความเปลี่ยนแปลง ในช่วงเวลาต่าง ๆ ซึ่งบ่งชี้ว่าเกิดกระบวนการ อะไรในแก่นโลก และเกิดขึ้นเร็วแค่ไหน
               ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญ?
                ก่อนหน้านี้ สนามแม่เหล็กโลกมีการเปลี่ยนแปลสูง ขั้วแม่เหล็กสลับกันหลายครั้ง เป็นเรื่อง สำคัญที่จะค้นพบว่าทำไมจึงเกิดขึ้นและเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน หากไร้สนามแม่เหล็ก เราจะ ต้องเผชิญกับรังสีจากนอกโลกปริมาณมหาศาล
                 ความลึกลับนี้มีโอกาสคลี่คลายไหม?
                 แม้อุปกรณ์ที่ดีขึ้น เช่น ดาวเทียม คอมพิวเตอร์ และเครื่องวัดความสั่นสะเทือน ทำให้เราเข้าใกล้คำตอบมากขึ้น แต่เราก็อาจไม่มีทางรู้ แน่ว่าอะไรอยู่ตรงใจกลางโลก
                 โลกของเรามีหลายชั้น โลกของเรา ประกอบด้วยเปลือกนอกที่ค่อนข้างบาง กับแก่นโลกซึ่งมีขนาดใหญ่ โดยปกติเปลือก โลกจะเย็นส่วนแก่นโลกจะร้อนกว่า แต่ก็มีความแตกต่างทางอุณหภูมิและความดันได้มากอยู่ด้วย ธาตุต่างๆ ทำให้โลกแบ่งเป็นชั้นๆ
โลกของเราแบ่งเป็นหลายชั้นเพราะกระบวนการที่เรียกว่า differentiation ทำให้ธาตุทางเคมีแยกตัวตามความหนา แน่นธาตุหนักและธาตุที่รวมตัวกับธาตุหนักส่วนใหญ่จมลงสู่ศูนย์กลางโลก ส่วนธาตุที่เบากว่าจะลอยตัวขึ้นสู่ชั้นเนื้อโลก

                  -ธาตุไลโธโฟล์ (lithophile elements) คือธาตุเบาที่รวมตัวกับธาตุเหล็กและตกลงสู่แก่นโลก
                  -ธาตุโซเดอร์โรโฟล์ (siderophile elements) คือธาตุหนักที่รวมตัวกับเหล็ก ตกลงสู่แก่นโลก
                  -ธาตุแคลโคไฟล์ (chalcophile elements) รวมตัวกับกำมะถันและตกลงลู่แก่นโลกเป็นส่วนใหญ่
                    วิวัฒนาการของโลก โลกก่อตัวขึ้นราว 4,600 ล้านปีก่อนและได้เปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด
                    ความลับที่ 3 : ทวีปเลื่อนเกิดขึ้นมาแต่แรกเริ่มได้อย่างไร?
                    นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้มานานแล้วว่า แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่สัมพันธ์กับแผ่นอื่น แต่กระบวนการทอยู่เบื้องหลังยังเป็นเรื่องลึกลับ มีอะไรเป็นตัวกระตุ้นการเคลื่อนที่นี้หรือ หรือมันแค่เกิดขึ้นมาเอง
                     ทฤษฏีที่ดีที่สุดของนักวิทยาศาสตร์
                     นักวิทยาศาสตร์เชื่อมาตลอดจนถึงเมื่อไม่กี่ปีมานี้ว่า ทวีปเลื่อนเกิดจากแรงขับเคลื่อนในชั้น แมนเทิล โดยแมกมา หินบะซอลต์จากรอยแตกกลางมหาสมุทร ทำให้พื้นทะเลขยายตัว ออก เกิดเป็นแผ่นเปลือกโลกสองแผ่นที่แยกออกจากกัน โดยการเคลื่อนที่นี้เกิดขึ้นจาก กระแสการพาความร้อนในชั้นแมนเทิล แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่ามีการเคลื่อนไหวในชั้นแมนเทิลมากพอจะทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น
                      ทฤษฎีที่ใหม่กว่าและมีข้อมูลกับแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อนบ่งชี้ว่าน้ำหนักของแผ่นเปลือกโลก คือ ปัจจัยสำคัญ แผ่นเปลือกโลกไถลไปบนพื้นผิวของแมนเทิล ที่ลาดเอียงเล็กน้อย มันจึงถูกดึงไปโดยน้ำหนัก ของตัวเอง ยิ่งแผ่นเปลือกโลกเก่าแก่ จะยิ่งหนาและเย็นตัวลง น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นทำให้แผ่นเปลือกโลกจมลึกลงไปในชั้นแมนเทิล ฐานของแผ่นเปลือกโลกจึงไถลตัวออกจากสันเขา กลางมหาสมุทร ส่วนใหญ่เป็นผลจากแรงโน้มถ่วง ถ้าการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก ไม่ได้มีสาเหตุมาจากกระบวนการในชั้นแมนเทิล แต่เกิดจากน้ำหนักของแผ่นเปลือกโลกเอง เช่น การชนของอุกกาบาต ก็อาจเป็นตัวเริ่มต้น แต่ก็ยังไม่มีข้อพิสูจน์
                         นักวิทยาศาสตร์จะทำอย่างไรต่อไป?
                         นักวิทยาศาสตร์ใช้เทคโนโลยีใหม่ทดลอง กับสารจากชั้นแมนเทิลโดยใช้อุณหภูมิและ ความดันที่เหมาะสม จึงจำลองกระบวนการของแมนเทิลได้ และสร้างแบบจำลองสภาพ ภายในโลกขึ้นมาด้วยซูเปอร์คอมพิวเตอร์
                          ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญ?
                          ภูเขาไฟบนโลกส่วนใหญ่และการเกิดแผ่นดินไหว มักปรากฏในบริเวณที่แผ่นเปลือกโลกมา บรรจบกัน หากรู้กระบวนการที่ทำให้เกิดการ เคลื่อนไหวของแผ่นเปลือกโลกมากขึ้นก็จะนำ มาใช้ในการพยากรณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติได้
                          ความลึกลับนี้มีโอกาสคลี่คลายไหม?
                        นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถเข้าไปสังเกตชั้น แมนเทิลได้โดยตรง แต่ความรู้ในสาขานี้เพิ่ม ทวีขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี ควานรู้เรื่องการเคลื่อน ตัวของแน่นเปลือกโลกที่มากขึ้น อาจช่วยพยากรณ์การปะทุของ ภูเขาไฟได้ดี
                              ความลับที่ 4 : ชีวิตบนโลกเกิดขึ้นเมื่อไร?

               กำเนิดชีวิตบนโลกอาจถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่สุดนับตั้งแต่เกิดโลกขึ้นมาก็ ได้ แต่ชีวิตเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร และต้องใช้เวลานานแค่ไหน จากช่วงที่เกิดสกาวะเหมาะสมต่อชีวิต จนกระทั่งเกิดชีวิตขึ้นมาจริงๆ บนโลก
                ทฤษฎีที่ดีที่สุดของนักวิทยาศาสตร์
                บรรพบุรุษร่วมของสิ่งมีชีวิตบนโลกหรือ LUCA มีชีวิตอยู่เมื่อราว 3,500 ล้านปีก่อน LUCA มีคุณสมบัติแห่งชีวิตเหมือนสิ่งมีชีวิตในปัจจุบันนี้ครบถ้วน เช่น แบ่งเซลล์ได้ และมี รหัสพันธุกรรม
ที่ใช้ดีเอ็นเอ
                 ร่องรอยชีวิตเก่าแก่ที่สุดที่ยอมรับกันพบ ที่กองหินซูอา (Isua Formation) ใน กรีนแลนด์ มีอายุราว 3,800 ล้านปี สิ่งที่นักธรณีวิทยาค้นพบไม่ใช่ฟอสซิล แต่เป็น คาร์บอนที่ถูกสิ่งมีชีวิตแปลงสภาพ แล้วต่อมาก็ตกตะกอนอยู่ก้นมหาสมุทร เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร ชีวิตบนโลกอาจเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น แต่หาร่องรอยได้ยากเพราะโลกถูกอุกกาบาต โจมตีอย่างหนัก จนร่องรอยในโลกยุคแรกๆ เมื่อราว 4,000 ล้านปี ก่อนสูญหายไปหมด
                   มีหลายสิ่งบ่งชี้ว่าสภาพที่เอื้ออำนวยต่อการ มีชีวิตนั้นมีอยู่แล้วตั้งแต่โลกถือกำเนิดขึ้นใหม่ ๆ การค้นพบแร่เซอร์คอน อายุ 4,400 ล้านปี ที่แจ็คฮิลส์ ในออสเตรเลียเป็นข้อพิสูจน์อย่าง ดีว่าเมื่อ 4,400 ล้านปีที่แล้วโลกมีอุณหภูมิค่อนข้างต่ำ ทั้งยังน่าจะมีน้ำและชั้นบรรยากาศด้วย ซึ่งก็แปลว่าโลกในยุคนั้นมีสภาพที่เหมาะสมต่อการก่อกำเนิดชีวิตนั่นเอง
                  นักวิทยาศาสตร์จะทำอย่างไรต่อไป?
                   นักวิทยาศาสตร์กำลังทดลองจำลองพัฒนาการ ขั้นแรกเริ่มจากสารเคมีอนินทรีย์มาสู่เซลล์แรกทีมของนาซ่าทีมหนึ่งกล่าวว่า ชีวิตอาจเริ่มต้นด้วยเงื่อนไขแตกต่างจากที่เคยเชื่อกันมาก็ได้ เพราะแบคทีเรียสามารถนำอาร์เซนิคมาใช้แทนฟอสฟอรัสในดีเอ็นเอของมันได้
                   ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญ?
                   ถ้ารู้ว่าชีวิตบนโลกเกิดขึ้นเมื่อไรและอย่างไร เราจะกำหนดได้ว่าควรค้นหาชีวิตบนดาว เคราะห์แบบใดบ้าง
                   ความลึกลับมีโอกาสคลี่คลายไหม?
                   เราคงไม่มีทางรู้แน่ชัดว่าชีวิตกำเนิดขึ้นตอนไหน เพราะการหาอายุทำได้ไม่แม่นยำ และเป็นไปไม่ได้ที่จะล่วงรู้ว่าสิ่งที่ค้นพบนั้น เป็นสิ่งมีชีวิตที่เก่าแก่ที่สุดหรือไม่
                   ชีวิตเกิดขึ้นด้วย 3 ขั้นตอน
                    ชีวิตเริ่มบนโลกครั้งแรกเมื่อราว 4,000 ล้านปีมาแล้ว โดยน่าจะประกอบด้วย 3 ขั้นตอนดังต่อไปนี้
                      -ธาตุอนินทรีย์ เช่น ไฮโดรเจน แอมโมเนีย และมีเทน ถูกแปลงให้เป็นสารอินทรีย์ การเปลี่ยน รูปนต้องใช้พลังงาน เช่น พลังงานจากฟ้าผ่า
                      -สารอินทรีย์บางชนิดทำปฏิกิริยากับชนิดอื่นจนกลายเป็นโมเลกุลใหญ่ เช่น อาร์เอ็นเอและโปรตีน ดึกดำบรรพ์ กระบวนการนี้อาจเกิดในแอ่งน้ำ
                      -สารอินทรีย์โมเลกุลใหญ่ค่อยๆ ก่อตัวเป็นโครงสร้างเซลล์ยุคแรกเริ่มที่สร้างจากไขมัน เมื่อ เซลล์ต้นแบบเหลานี้เริ่มแบ่งตัว ก็เกิดชีวิตขึ้น
                      ความลับที่ 5 : อะไรทำให้ภูมิอากาศของโลกเสถียร?
                     โลกของเรามีภูมิอากาศที่คงที่ไม่เหมือนใครเสมอมา การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ล้วนเกิด ขึ้นช้าๆ มีกลไกอะไรที่ทำให้ภูมิอากาศคงที่อย่างนี้
                      ทฤษฎีที่ดีที่สุดของนักวิทยาศาสตร์
                      นักวิทยาศาสตร์รู้ถึงกลไกการหมุนเวียนของโลก ซึ่งก็คือกลไกทางภูมิอากาศที่สามารถ เสริมสร้างหรือบั่นทอนตัวเองได้ วัฏจักรคาร์บอนของโลก ซึ่งช่วยรักษาอุณหภูมิให้ คงที่ตลอดประวัติศาสตร์ของโลกถือเป็นกลไกอย่างหนึ่ง การควบคุมอุณหภูมิเกิดขึ้นเมื่ออุณหภูมิโลกลดต่ำลง ทำให้ปริมาณฝนลดลงคาร์บอนไดออกไซด์จึงถูกชะล้างออกจากบรรยากาศได้ช้าลง อุณหภูมิจึงสูงขึ้นอีกครั้ง อุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้ฝนตกมากขึ้น ซึ่งก็จะไปชะล้างคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากบรรยากาศ อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้อุณหภูมิลดต่ำลง
                     นักวิทยาศาสตร์จะทำอย่างไรต่อไป?
                     นักวิทยาศาสตร์กำลังพยายามค้นหาปัจจัยสำคัญๆ ต่อภูมิอากาศยุคใหม่ แบบจำลอง ทางคณิตศาสตร์ของชั้นบรรยากาศและทะเล อาจนำไปปรับใช้กับภูมิอากาศในอดีตได้ด้วย
                     ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญ?
ความรู้เรื่องภูมิอากาศของโลกสำคัญยิ่งยวด เพราะมนุษย์สัมพันธ์กับภูมิอากาศด้วยตัวเอง
                     ความลึกลับนี้มีโอกาสคลี่คลายโหม?
มีโอกาสสูง ที่เราจะได้เรียนรู้ว่าระบบภูมิอากาศ ทำงานอย่างไร
                   ภูมิอากาศของโลกดำรงอยู่ได้ด้วยตัวเอง
                  กลไกควบคุมอุณหภูมิบนโลกทำให้เกิดวัฏจักรคาร์บอนไดออกไซด์ส่งผลให้ภูมิอากาศ
มีความเสถียร

ศาสตร์ลับปรับชีวิต

                                                   ความเดิมของปฐมบทแห่งสรรพสิ่ง
            ดร.ชัยยงค์ พรหมวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักเทคโนโลยีทางการศึกษามหาวิทยาลัย
สุโขทัยธรรมาธิราช  ซึ่งเป็นอาจารย์ ของผู้เขียน ท่านได้เขียนแนวคิดสมมุติฐาน  ในหนังสือเรื่อง
"พุทธศาสตร์" เกี่ยวกับชีวิตของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในจักรวาล โดยท่านคิดขึ้น แล้วปรากฏว่าไปตรงกับหลักอรรถาธิบายที่มีอยู่แล้วในพระไตรปิฎกทุกประการ สมมุติฐานนี้ท่านได้ใช้การอธิบายทางวิทยาศาสตร์ด้วยภาษาวิทยาศาสตร์สำหรับมนุษย์ยุคปัจจุบัน ซึ่งเข้าใจได้ทันทีเมื่อได้อ่านแล้ว อาจไม่เชื่อว่านี่คือ ความจริงสมมุติฐานของ ดร.ชัยยงค์ มาแสดงเพียงเป็นตัวอย่างเท่านั้นดังนี้
สมมุติฐานเกี่ยวกับชีวิต โดยสังเขปมี 6 ข้อคือ
            1) สิ่งมีชีวิตทุกรูปแบบ ทั้งพืช สัตว์ และคน มีพลังชีวิตซึ่งมีธรรมชาติเหมือนกัน แต่มีระดับของพลังในการมาเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตในแต่ละรูปแบบแตกต่างกัน พลังงานที่ใช้มาเกิดมีหน่วยเป็น LV. (LV-แอลวี-ย่อมาจาก "Life Vitatis" เช่นเกิดเป็น มดมี 1 LV. เกิดเป็นสุนัขมี 20,000 ถึง 30,000 LV. เกิดเป็นคนมี 40,000 ถึง 200,000 LV.)
             2) ระดับของพลังชีวิตของมนุษย์ทุกคนเป็นผลรวมของ 3 องค์ประกอบคือ:
                   2.1 ได้จากพลังชีวิตของพ่อแม่
                   2.2 ได้จากรังสีของดวงดาวที่ตกลงมา ณ จุดกำเนิด
                   2.3 ได้จากพลังชีวิตของตนเองก่อนมาเกิด เป็นพลังเดิมที่สะสมไว้ในจิตและความทรงจำ
ต่าง ๆ ซึ่งมีความถี่ต่าง ๆ กันหากจิตมีพลังต่ำก็อาจเกิดเป็นแมลง เป็นสัตว์เดียรัจฉานชั้นต่ำ หากมีพลังสูงก็อาจเกิดเป็นคน เป็นเทวดา เป็นมนุษย์ต่างมิติภพ
               3) พลังชีวิตที่ได้รับตอนกำเนิด เพิ่มขึ้นหรือลดลงได้จากการแบ่งอะตอมในร่างกายเป็นสัดส่วนกับการกระทำ (Process) ทำให้มีระยะพิสัยต่ำสุด และสูงสุดของพลังชีวิต นั่นคือ หากพลังชีวิตลดลงเลยขีดพิสัยต่ำสุด ร่างกายก็ดำรงอยู่ไม่ได้ หากพลังชีวิตเพิ่มเลยขีดพิสัยสูงสุด ร่างกายก็ทนไม่ได้เช่นกัน
               4) เมื่อร่างกายดับไปแล้ว จิตจะถูกดูดไปยังแหล่งพลังงานที่เหนือกว่า พลังงานที่ดูดจิตไปนี้ กระจายอยู่ทั่วไปในจักรวาลซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ:-
                  ก) ส่วนที่อยู่ในสภาวะติดกับมวล (Mass)
                  ข) ส่วนที่อยู่ในสภาวะมวลซึ่งเริ่มเป็นพลังงาน (Plasma)
                  ค) ส่วนที่อยู่ในสภาวะพลังงาน (Energy)
                  ตามสมมุติฐานข้อนี้หมายความว่า เมื่อชีวิตหนึ่งตาย จิตจะแยกจากร่างกาย หากจิตมีพลังงานสะสมรวมเพียง 550 LV ก็จะถูกดูดไปยังส่วนที่อยู่ในสภาวะติดกับมวล และจะเข้ารวมกับมวลก่อรูปขึ้นเป็นร่างกายที่มีมวลสารอีก หากมีพลังงานสะสมมากเช่นมีถึง 300,000 LV. ก็จะถูกดูดไปยังส่วนสภาวะพลังงาน และเกิดเป็นชีวิตที่มีรูปแบบเป็นพลังงาน ไม่มีมวลเป็นร่างกาย (เรียกว่าไปเกิดในพรหมโลก)
              (5) พลังชีวิตที่จิตใช้เป็นพลังงานรูปหนึ่ง ซึ่งมีธรรมชาติเป็นกัมมันตภาพรังสีและมีความเร็วสูงจนเทียบอัตราความเร็วต่อเวลาไม่ได้ (อกาลิโก) (พลังงานนี้คงเป็นพลังงานปฐมภูมิ-ผู้เขียน)
ทุกวันนี้วิทยาศาสตร์ของมนุษย์โลกรู้จักพลังงานเพียงไม่กี่ชนิด เช่นพลังงานปรมณู พลังงานไฟฟ้า
พลังงานความร้อน พลังงานแสง เป็นต้น พลังงานเหล่านี้เป็นพลังงานที่จัดอยู่ในจำพวกพลังงานทุตยภูมิ เป็นพลังงานรองลงมา เป็นพลังงานที่กระจายแผ่ขยายออกมาจากการแตกดับสลายตัวของอะตอม แต่พลังงานปฐมภูมินั้นนักวิทยาศาสตร์ยังไม่รู้จัก เท่าที่ทราบมีพระพุทธเจ้าองค์แรกที่เป็นผู้ค้นพบและกล่าวถึงพลังงานนี้ไว้โดยละเอียด ต่อมาในปี พ.ศ. 2483 นายแพทย์ ด๊อกเตอร์วิลเฮล์ม รีช
(Dr Wilhelm Reich MD.)  เป็นนักค้นคว้าวิจัยทางชีววิทยาและฟิสิกส์ เป็นอีกคนหนึ่งที่ค้นพบพลังงานอย่างเดียวกันกับที่พระพุทธองค์ตรัสเอาไว้ ดร.รีช เรียกมันว่า "Orgone Energy" และปัจจุบัน การค้นคว้าด้านพลาสม่าฟิสิกส์ในสิ่งมีชีวิตโดยกลุ่มนักวิทยาศาสตร์รัสเซียก็ได้มีการประกาศว่าพบพลังงานนี้แฝงตัวอยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกรูปแบบเช่นกัน รัสเซียเรียกพลังงานลึกลับนี้ว่า 'Bioplasma Body' นักวิทยาศาสตร์
รัสเซียกำลังศึกษากันอยู่ ยังไม่ทราบว่ามันเป็นพลังงานอะไร แต่ที่รู้แน่ ๆ คือมันไม่ใช่พลังงานในรูป
ใด ๆ ที่มีอยู่ในตำราวิชาฟิสิกส์มาก่อน มันมีรูปทรงเหมือนตัวสิ่งมีชีวิตที่มันแฝงตัวอยู่ทุกประการ และมันสามารถฟังชั่นได้ด้วยตัวของมันเอง หรือควบคุมการทำงานของเซลล์ต่าง ๆ ได้ทั้งหมด จึงเรียกมันว่า "ร่างพลาสม่าในสิ่งมีชีวิต"
                 คนสุดท้ายที่กล่าวถึงพลังงานลึกลับนี้คือ ดร.ชัยยงค์ พรหมวงศ์ ซึ่งได้กล่าวไว้ในสมมุติฐานข้อที่ 5 นี้อย่างชัดเจนว่ามันเป็นพลังงานอีกอย่างหนึ่งที่มนุษย์ยังไม่รู้จักกัน
        (5.1) พลังงานชีวิตสามารถทำปฏิกิริยากับสารเคมีบางอย่าง และสามารถบันทึกอัดเก็บไว้ได
         สมมุติฐานย่อยของข้อ 5 นี้ มีหลักฐานยืนยันได้มากมาย ดร.ชัยยงค์ ได้วิเคราะห์ภาพถ่าย พิธีพุทธาภิเษกรูปเหมือนหลวงพ่อวัดดอนตัน จังหวัดน่าน มีพระภิกษุเข้าพิธี 2 รูปคือ พระอาจารย์ไพริน นั่งอยู่ด้านซ้าย และ หลวงพ่อวัดดอนตัน นั่งอยู่ด้านขวา ตรงกลางรูปเป็นภาพเหมือนของหลวงพ่อ และลังกระดาษแม่โขงใส่เหรียญเพื่อรับการปลุกเสก ในภาพนั้น ภาพหลวงพ่อวัดดอนตันหายไป เห็นแต่อาสนะ แต่มีลักษณะเหมือนสายฟ้าฟาดจากบนลงมา พระอาจารย์ไพริน มีภาพซ้อนรวมทั้งสายสิญจน์ก็มีภาพซ้อน จึงทำให้คนดูคิดว่ากล้องถ่ายไหว แต่เมื่อพิจารณาดูดี ๆ แล้วพบว่ากล้องไม่ได้ไหว เพราะอักษร "แม่โขง" บนลังกระดาษยังชัดเจนดีทุกลัง จึงสามารถสรุปได้ว่า พลังชีวิตได้ทำปฏิกิริยากับสารเคมี และคงมีแรงสูงมากนอกจากภาพพลังชีวิตนี้แล้วยังมีการค้นคว้าใหม่ ๆ ในต่างประเทศอีกที่สนับสนุนสมมุติฐานย่อยข้อนี้ เช่น การทดลองถ่ายภาพด้วยกล้องพิเศษเรียกว่า "การถ่ายภาพแบบเคอร์เลียน" (Kirlian Photography) เคอร์เลียนเป็นนักอีเลคโทรนิคส์ชาวรัสเซีย ได้ค้นพบการถ่ายภาพ "พลังชีวิต" โดยบังเอิญ และต่อมาได้พัฒนาอุปกรณ์เครื่องถ่ายภาพพลังชีวิตขึ้นสำเร็จ เขาพบว่าสิ่งมีชีวิตทุกรูปแบบจะมีพลังงานอย่างหนึ่งเปล่งออกมาโดยรอบ ซึ่งสามารถถ่ายภาพไว้ได้ด้วยเทคนิคเครื่องถ่ายภาพอีเลคโทรนิคส์ที่เขาประดิษฐ์ขึ้น ภาพถ่ายของเคอร์เลียนนับจำนวนเป็นหมื่น ๆ ภาพได้ถูกนักวิทยาศาสตร์นำไปวิเคราะห์และต่างลงความเห็นว่า มันเป็นสิ่งใหม่ที่วิทยาศาสตร์ยังไม่มีคำตอบ ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐอเมริกา ที่ มหาวิทยาลัย UCLA ก็กำลังดำเนินการวิเคราะห์วิจัยเรื่องนี้อยู่ และได้ประดิษฐ์กล้องถ่ายภาพยนตร์สำหรับถ่ายภาพพลังชีวิตได้สำเร็จ นำมาซึ่งแก้ปัญหาและความงุนงงให้แก่นักวิทยาศาสตร์มากยิ่งขึ้น เมื่อฟิล์มภาพยนตร์ถูกนำมาวิเคราะห์ได้มีการค้นพบสิ่งประหลาดที่ไม่มีใครเคยคาดฝันมาก่อนหลายอย่าง เช่น พบว่าพลังชีวิตที่แผ่ออกมารอบตัวคนมีกำลังสว่างมากน้อย หรือหรี่อ่อนลงได้ตามอารมณ์ความนึกคิดของเจ้าตัว เมื่อนำใบไม้มาถ่ายพบว่าใบไม้สดมีพลังชีวิตส่องสว่างเจิดจ้า แต่พอเก็บทิ้งไว้หลาย ๆ วัน พลังชีวิตจะค่อย ๆ อ่อนลง ๆ และจางหายหมดไป เมื่อใบไม้เหี่ยวแห้งตายไป เมื่อนำใบไม้สด ๆ มาตัดออกไปแล้ว หรือฉีกออกครึ่งหนึ่ง พบว่าส่วนที่ถูกตัดออกไปแล้ว จะยังคงมีแสงพลังชีวิตมีรูปร่างเหมือนส่วนเดิมนั้นยังคงปรากฏอยู่ได้นานถึง 10 วินาที จึงเรียกว่า "รูปปีศาจใบไม้" (Phantom Leaf) และยังพบอีกว่าคนที่เข้าสมาธิได้ดีนั้น จะปรากฏว่าแสงพลังชีวิตเจิดจ้า และบางครั้งก็รวมกลุ่มหนาแน่นอยู่ตรงบริเวณหัว หรือปลายนิ้วมือ พบว่าคนที่ดื่มเหล้าเข้าไปมาก ๆ
จะทำให้แสงพลังชีวิตหรี่ลงผิดคนธรรมดา
           5.2 พลังงานชีวิต สามารถอัด(charge) ลด และแผ่กัมมันตภาพรังสีได้ หมายความว่าผู้ที่มีพลังชีวิตสามารถอัดพลังชีวิตถ่ายทอดลงไปในมวลทุกประเภท หรือถ่ายให้อีกคนหนึ่งก็ได้ เช่น ถ่ายลงดิน (เรียกว่าปลุกเศกพระเครื่อง) อัดลงในน้ำ เช่น น้ำพระพุทธมนต์
              สมมุติฐานข้อนี้สามารถนำไปใช้อธิบายเรื่องปาฏิหารยิย์ต่าง ๆ ได้ เช่น พระพุทธรูปได้รับการอัดพลังไว้ 15,000 LV. พระพุทธรูปองค์นี้จะมีกัมมันตภาพรังสีที่มีผลได้ 2 ทางคือ
            ก) ผู้มี LV. ต่ำ จะขาดภูมิคุ้มกันกัมมันตภาพรังสี หากนำวัตถุมาไว้ที่บ้านก็อาจเป็นอันตรายต่อระบบประสาทและสมอง เกิดล้มป่วยได้ พูดง่าย ๆ คือคนชั่ว มี LV. ต่ำ ดังนั้นพระเครื่องที่ห้อยคอก็ไม่สามารถจะช่วยอะไรได้ มีแต่จะทำให้เกิดภัยเพิ่มมากขึ้นแก่ตนเอง
           ข) ผู้มี LV. สูงอยู่แล้ว พลังงานของพระพุทธรูปจะเพิ่มพลังชีวิตให้สูงยิ่งขึ้น แต่ถ้าเพิ่มระดับ LV. สูงเกินพิกัดสูงสุด คนนั้นก็ดับชีวิตได้เช่นกัน เรียกว่าตายดี
              ทฤษฎีสนับสนุนเรื่องนี้เป็นไปได้ ตามทฤษฎี Orgone Energy ซึ่ง ดร.ริช เขียนไว้ว่า กฏข้อหนึ่งของพลังงานนี้คือ ..... "มันจะไหลจากแหล่งที่มีความต่างศักย์ต่ำ ไปสู่แหล่งที่มีความต่างศักย์สูงกว่า"...... ซึ่งตรงกันข้ามกับการไหลของพลังงานทุตยภูมิทั้งหลาย อย่างเช่นไฟฟ้า ความร้อน เป็นต้น พลังงานทุตยภูมิจะไหลถ่ายเทจากแหล่งศักย์ดาสูงไปสู่แหล่งศักย์ดาต่ำ
            5.3) พลังงานชีวิต มีอานุภาพและความเร็วสูงมาก สามารถทะลุทะลวงผ่านอะตอมมวลสารได้ทุกชนิด
            สมมุติฐานย่อยข้อนี้ ดร.ชัยยงค์ อธิบายเปรียบเทียบกับหลักพระพุทธศาสนาว่า โดยที่มีพุทธดำรัสว่า " ไม่มีแรงใดเหนือแรงกรรม" พลังงานชีวิตนี้น่าจะเป็นพลังงานที่ทำให้เกิดแรงชนิดหนึ่งเรียกว่า "กรรม" พลังงานนี้สามารถทะลุทะลวงผ่านอีเลคตรอนเข้าไปทำลาย หรือแบ่งโปรตรอนของมวลได้ นั่นคือเมื่อจำนวนโปรตรอนถูกแบ่งเปลี่ยนจำนวนไป สารหรือธาตุนั้นก็เปลี่ยนไป เช่น ดินอาจเปลี่ยนเป็นทองคำก็ได้
               อะตอมของมะเร็งในร่างกายก็อาจทำลายได้ด้วยพลังชีวิตนี่เอง และด้วยความรวดเร็วปานใจนึก พลังชีวิตอาจถูกส่งออกไปยังที่ใดก็ได้ โดยไม่ต้องคำนึงถึงระยะทาง โดยปราศจากความแตกต่างของเวลา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจิต และอำนาจของพลังงานที่จิตสะสมเอาไว้ และที่สำคัญคือ จิตนั้นรู้วิธีการในอันที่จะฉายพลัง หรือส่งพลังในระดับความถี่ต่าง ๆ ได้เหมือนการจูนคลื่นวิทยุ ถ้าจิตหนึ่งสามารถควบคุมปรับความถี่ของพลังงานชีวิตให้ตรงกับอีกจิตหนึ่งได้ ความรู้สึกนึกคิดของจิตทั้งสองก็สามารถเชื่อมต่อ ส่งข่าวถึงกันได้.
               ชีวิตมี " จิต " เป็นตัวขับเคลื่อน จิตเป็นสภาวะนามธรรม หากปราศจากจิตชีวิตจะดำเนินไปไม่ได้ ร่างกายจึงเปรียบได้กับรถยนต์ที่มีจิตเป็นผู้ขับขี่ จิตใช้กรรมเป็นเชื้อเพลิง เมื่อร่างกายแตกดับควบคุมไม่ได้ (รถยนต์เสีย) จิตก็ต้องสละร่างทิ้ง ออกจากร่างกายไป จิตที่ไม่เข้มแข็งย่อมอาจถูกจิตภายนอกที่มีพลังสูงกว่าเข้ามาแทรกแซงได้ กรณีของการเข้าทรงผีทรงเจ้า ก็คือกรณีของผู้มีบุคลิกตั้งแต่ 2 บุคลิกขึ้นไป (Multiple personality) ซึ่งถือว่าเป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง บางครั้งเกิดจากจิตของคน ๆ นั้นอ่อนมาก จิตของผู้ที่แข็งกว่าจึงผลักจิตเดิมออก หรือกดจิตเดิมเอาไว้ แล้วเข้าแทรกแซงขับเคลื่อนร่างกายแทน

                 โดยปรกติจิตจะรักษา เอกภาพ (Identity) ของตัวเองไว้เสมอ และจดจำเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอดีตได้หมด แต่เมื่อมายึดกับมวล (สิงในร่างกาย) พลังงานชีวิตจะอ่อนลง เพราะพลังส่วนหนึ่งต้องถูกนำไปใช้ในการควบคุมร่างกาย ควบคุมการสลายตัวของพลังงานทุตยภูมิเพื่อนำไปใช้ให้เกิดแรงงานต่าง ๆ เมื่อพลังชีวิตอ่อนลง การระลึกถึงชาติก่อนจึงทำไม่ได้ แต่ข้อมูลนั้น ๆ ยังอยู่ ข้อมูลทุกอย่างที่ผ่านเข้าไปในจิตย่อมฝังแน่นไม่เลือนหายไปไหน หากผู้ใดปฏิบัติสมาธิฝึกจิตให้ดี คือการวางเฉยจากร่างกายและความคิดอื่น ๆ ให้หมด รวบรวมพลังชีวิตที่มีอยู่โน้มน้าวมาเพื่อใช้ในการอ่านแถบบันทึกเหตุการณ์ในอดีต ก็ย่อมสามารถที่จะนึกลงไปในอดีตมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่า พลังชีวิตของผู้นั้น จะมีความแรงกล้าฝ่าทะลุตู้เซฟแห่งความทรงจำลงไปได้แค่ไหน
                คำว่า "จิต" มิได้หมายถึงสิ่งที่มีตัวมีตน ในทางพุทธศาสนาได้อธิบายไว้อย่างลึกซึ้งรวมใจความว่า หมายความว่า "ผู้สะสม" มิได้เป็นวัตถุก้อนกลม ๆ หรือก้อนพลังงานอะไรที่วิ่งออกจากร่างคนที่ตายไปเข้าร่างใหม่ดังที่เข้าใจกันอยู่ในปัจจุบัน จิตเป็นเพียงการรวมกลุ่มของพลังชีวิตที่มีทั้งบวกและลบ (ดีและชั่ว) มันเป็นระบบกลไกอันสลับซับซ้อน ต้องศึกษากันนานกว่าจะเข้าใจ ซึ่งจะไม่ขอยกมาอธิบาย ณ ที่นี้ มันเปรียบได้กับไดนาโมหรือเครื่องปั่นไฟ ต้องมีระบบกลไกหลายส่วนประกอบกันจึงจะเป็นเครื่องปั่นไฟฟ้าออกมาได้ แต่ถ้านำมารื้อออกดูแต่ละชิ้นส่วนก็ไม่สามารถบอกได้ว่าไฟฟ้าออกมาได้จากส่วนไหนของเครื่องปั่นไฟ สำหรับจิตมีความซับซ้อนยิ่งกว่านั้นมากหลายพันเท่า เพราะมันเปรียบเสมือนเครื่องยนต์มหัศจรรย์ที่มีส่วนประกอบที่เป็นมวลสารและเป็นพลังงาน เป็นเครื่องจักรเชิงซ้อนมีทั้งชิ้นส่วนที่เป็นมวลสารและไร้มวลสารทำงานร่วมกัน (เครื่องจักรเชิงซ้อนนี้หมายถึงจิตของมนุษย์) บางคนอาจมีหัววิทยาศาสตร์มากไปหน่อยอาจไม่เข้าใจว่าเครื่องจักรไร้มวลสารเป็นอย่างไร ผู้เขียนก็ขอแนะว่า ไอน์สไตน์เคยกล่าวว่า " Matter is a concentrated form of physical energy " แปลว่ามวลสารคือสภาพของการรวมตัวอย่างหนาแน่นของพลังงานทางฟิสิกส์ หรือพลังงานทุติยภูมิ เราก็อาจกล่าวได้ว่า จิตคือสภาพของการรวมตัวอย่างหนาแน่นของพลังงานชีวิต หรือพลังงานปฐมภูมิ เขียนเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า " Mind is a concentrated form of psychical energy " ทางด้านวัตถุปรมาณู (atom) มีลักษณะปรากฏโดยผิวเผินเป็นสสาร (matter) แต่ถ้าพิจารณาพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียดกับปรากฏว่า มันเป็นกลุ่มพลังงานมีโปรตอน อีเลคตรอน นิวตรอน ซึ่งเป็นพลังงานไฟฟ้าทั้งบวกและลบ หลายหน่วยรวมอยู่ใกล้เคียงกันอย่างมีกฏเกณฑ์ เมื่อเอาอะตอมจำนวนมาก ๆ มารวมกันก็กลายเป็นมวลสารเป็นตัวเป็นตนเป็นของแข็ง ของอ่อน จับต้องมองเห็นได้ ส่วนทางด้านพลังงานปฐมภูมินั้น จิตเป็นนามธรรม แม้จะเอาความรู้สึกนึกคิดความทรงจำทั้งบวกและลบมารวมกันมากมายสักเพียงใด ก็มองไม่เห็น ลูบคลำไม่ได้ เพราะพลังงานชีวิตไม่ใช่พลังงานทางฟิสิกส์ที่มีกล่าวถึงในตำราปัจจุบันนี้ แต่มันเป็นพลังงานที่อยู่นอกเหนือไปจากกาลเวลาอวกาศ คือไม่ขึ้นอยู่กับสภาวะ 4 มิตินั่นเอง
                   ดร.วิลเฮลม ริช ภายหลังที่ได้ค้นพบพลังงานประหลาดที่อยู่นอกเหนือตำราฟิสิกส์ ซึ่งเขาให้ชื่อว่า " พลังงานออร์กอน " ได้ตรวจวิเคราะห์ดูพลังงานประหลาดนี้เป็นเวลากว่า 20 ปี ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตได้เขียนทฤษฎีและสมมุติฐานเกี่ยวข้องกับพลังงานนี้ไว้ว่า
             1) พลังงานออร์กอน หรือพลังงานพื้นฐาน (Primary energy) ของมวลสาร และพลังงานทางฟิสิกส์อื่น ๆ เช่นไฟฟ้า แสง เสียง ความร้อน รวมทั้งชีวิตในสากลจักรวาล
            2) พลังงานออร์กอนอาจปรากฏให้เห็นในธรรมชาติปรกติเป็นสีน้ำเงิน หรือน้ำเงินเทา แสงสีเปลี่ยนไปได้ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของพลังงานและสภาวะตื่นตัวของมันด้วย
           3) พลังงานออร์กอน สามารถแทรกซึม ทะลุทะลวงเข้าสู่มวลสารและสนามพลังงานทางฟิสิกส์ ได้ทุกชนิดไม่มีสิ่งยกเว้น แต่การแทรกซึมจะมีอัตราความหนาแน่นแตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดของตัวกลางนั้น ๆ
         4) ในสารอินทรีย์ทุกขนิด จะมีพลังงานออร์กอนแทรกซึมอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนในสารอนินทรีย์อาจมีพลังงานนี้แทรกซึมอยู่มากน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของสารนั้น ๆ
         5) สารอนินทรีย์ เมื่อถูกพลังงานออร์กอนแทรกซึมเข้าไป จะสามารถดูดซับพลังงานนี้ไว้ในตัวของมันได้ เป็นปริมาณพิกัดหนึ่ง เมื่อถึงขีดพิกัดนี้แล้ว มันจะไม่ดูดซึมอีกต่อไป  แล้วจะสะท้อนพลังงาน
ออร์กอนออกไปไม่ให้ผ่านเข้าไปได้อีก จนกว่าพิกัดความจุในตัวมันถูกทำให้ลดลง
        6) น้ำ เป็นสารอนินทรีย์ชนิดเดียวที่ดึงดูดและดูดซึมพลังงานออร์กอนได้ดีมากที่สุด
        7) พลังงานออร์กอน เป็นพลังงานที่สามารถไหลหรือแผ่กระจายได้จากแหล่งที่มีความต่างศักย์ต่ำ
ไปสู่แหล่งที่มีความต่างศักย์สูง ตรงกันข้ามกับพลังงานอื่น ๆ ทางฟิสิกส์ที่เคยรู้จักกันมาก่อน
        8) โดยธรรมชาติที่แท้จริง พลังงานออร์กอนเป็นพลังงานที่ควบคุมการก่อรูปของมวลสาร ซึ่งตรงข้ามกับพลังงานทุติยภูมิ หรือพลังงานทางฟิสิกส์อื่น ๆ ที่รู้จักกัน พลังงานทุติยภูมิเป็นพลังงานที่เกิดจากการสลายตัวของมวล  หรือการเสียสมดุลย์ของมวล จากสูตรของพลังงานที่ไอนสไตน์ ตั้งเอาไว้ว่า E = mc^2 ( E คือพลังงาน m คือมวลสาร c คือค่าความเร็วแสงในสูญญากาศ) แสดงว่าถ้ามวลสาร (m) ถูกทำให้สลายตัว จะได้พลังงานทางฟิสิกส์คือ E ออกมา E ในที่นี้คือพลังงานออร์กอนในมวลสารสลายตัวออก และแปรสภาพเข้าสู่ขอบเขตของมิติที่ 4  ปรากฏตัวออกมาในรูปของพลังงานปรมาณู ซึ่งเป็นพลังงานทุติยภูมิ   จากความรู้และข้อเท็จจริงเท่าที่ยกมาแสดงแต่เพียงเล็กน้อย พอเป็นตัวอย่างเหล่านี้ อาจใช้เป็นเครื่องอธิบายได้พอสังเขปว่า ชีวิตต่างดาว เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ชีวิตที่ไม่มีรูปกายเป็นมวลสาร ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ความเร้นลับในเรื่องจิตวิญญาณ และปรากฏการณ์เกี่ยวกับอำนาจลึกลับที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณ สามารถอธิบายได้โดยหลักการของพลังงานปฐมภูมิ และท้ายสุดความรู้ความเข้าใจเหล่านี้ อาจทำให้บางคนมองเห็นว่า วิทยาศาสตร์ปัจจุบัน เป็นเพียงกิ่งก้านแขนงหนึ่งของธรรมชาติทั้งหมดในจักรวาลเท่านั้น ยังมีกิ่งก้านสาขาแขนงอื่น ๆ อีกมากมายที่วิทยาศาสตร์ยังไต่ไปไม่ถึง
และถ้ามนุษยชาติต้องการเรียนรู้สิ่งเหล่านี้จริง ๆ แล้ว วิทยาศาสตร์ไม่ควรที่จะปิดหูปิดตาตัวเอง
ความรู้ความเข้าใจเหล่านี้ อาจทำให้บางคนมองเห็นว่าวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเป็นเพียงกิ่งก้านแขนงหนึ่งของธรรมชาติทั้งหมดในจักรวาลเท่านั้น ยังมีกิ่งก้านสาขาแขนงอื่น ๆ อีกมากมายที่วิทยาศาสตร์ยังไต่ไปไม่ถึง และถ้ามนุษย์ชาติต้องการเรียนรู้สิ่งเหล่านี้จริง ๆ แล้ว วิทยาศาสตร์ไม่ควรที่จะปิดหูปิดตาตัวเอง วิทยาศาสตร์ไม่ควรเกาะแน่นอยู่แค่บนกิ่งกิ่งเดียวโดยไม่ยอดกระโดดไปกิ่งอื่น ๆ เสียเลย การปฏิเสธไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น การปฏิเสธไม่ได้พิสูจน์ว่าธรรมชาติกิ่งอื่น ๆ ไม่มี การที่หลักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันไม่สามารถนำไปใช้กับธรรมชาติของกิ่งแขนงอื่น ๆ ได้นั้น ก็เพราะหลักการนั้น เป็นหลักการคนละระดับกัน มันเป็นเพียงหลักการที่ถูกต้องสำหรับมิติแห่งพลังงานทุตยภูมิ มิติแห่งพลังงานพื้นฐานของมวลสารในโลกของวัตถุธาตุทางกายภาพเท่านั้น

            พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แสดงให้ผู้ที่มีดวงตาแหลมคม เห็นว่าเอกภพนี้ยังมีพลังงานในรูปแบบอื่น ๆ อีก ดร.ริช ก็ได้ค้นพบธรรมชาติของพลังงานลึกลับอีกรูปแบบหนึ่ง  นักวิทยาศาสตร์รัสเซีย เช่น ดร.โพโลวา (Dr.Lutsai Pavlova) ดร.กินาดี เซอรจิเยฟ (Dr.genady Sergeyev) และกลุ่มนักค้นคว้าที่ศูนย์ "โพพอฟ" PoPoV - ชื่อเต็มว่า The Bio - Information Section of the A.S. PoPov All Union Scientific and Technical Society of Radio Technology and Electrical Communications ) เหล่านี้ ก็ยืนยันว่าพลังงานอีกอย่างหนึ่งที่นอกเหนือไปจากพลังงานทางฟิสิกส์ทั้งหลายนั้นมีจริง แต่มันยังเป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์และหลักการทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังไม่สามารถเข้าใจได้ วิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังไม่มีคำตอบหรือทฤษฎีใด ๆ ที่จะนำอธิบายได้เลย
              จากเรื่องราวเหล่านี้ นำไ ปสู่การสันนิษฐานได้ว่า ถ้าการติดต่อของทอม มนุษย์ต่างดาวเป็นเรื่องจริง มันก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ว่าพวกต่างดาวเหล่านั้นมีจริง และถ้าทอมไม่ได้พูดโกหกเสียเอง เรื่องราวและเหตุผลที่เขากล่าวอ้างมานั้นก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ทั้งสิ้น หากใครไม่มีความรู้พื้นฐานในเรื่องพลังงานปฐมภูมิมาก่อนเลย ผู้นั้นก็จะไม่มีวันเข้าใจในสิ่งทอมกล่าวถึงเลยแม้แต่น้อย และสิ่งเดียวที่ผู้นั้นจะทำได้เมื่อได้ฟังเรื่องราวเหล่านั้นก็คือ การปฏิเสธโดยสิ้นเชิง ถ้าหากว่าผู้นั้นมีความรู้พื้นฐานในเรื่องพลังงานปฐมภูมิ ความรู้ในแขนงอื่น ๆ ที่ไม่มีในตำราวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน เขาก็จะเข้าใจในทุกสิ่งทุกอย่างที่ทอมพูดถึงว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ เช่นยานบินไร้มวลสาร และเรื่องสิ่งมีชีวิตที่ไร้รูปกาย เรื่องการกระจายของหน่วยชีวิตภาค เรื่องความหนาแน่นที่เกิดขึ้นกับมวลชีวิตบนโลก เรื่องผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับความสมดุลย์ของมวลภาวะชีวิตในเอกภพ เหล่านี้เป็นต้น